เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๑ พ.ค. ๒๕๔๗

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๔๗
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันนี้วันพระ เวลาประพฤติปฏิบัติพระเป็นผู้ประเสริฐ วันธรรมดาเป็นวันของโยมวันธรรมดาของเรา วันพระต้องหาหลักของใจ ผู้ประเสริฐต้องเอาใจของตัวเองเอาไว้ได้ ถ้าตนเองไม่เบียดเบียนตนเองนะ ทุกคนเบียดเบียนตัวเองนะ เวลามันทุกข์มันร้อน มันเบียดเบียนตัวเอง ว้าเหว่ เศร้าเหงาหงอย แต่เวลาครูบาอาจารย์อยู่ในป่า นักปราชญ์อยู่ในป่าในเขา เราว่าอยู่ในเมือง คนที่อยู่ในเมืองคนที่อยู่ในสังคมที่เจริญแล้วพวกนั้นเป็นผู้ที่มีปัญญา ผู้ที่มีปัญญานั้นคือปัญญาของโลกเขา เรื่องของวิชาการต่างๆ เราคิดค้นคว้าขึ้นมา เวลามันตกยุคไปแล้วมันก็หมด ยกไว้เว้นแต่แฟชั่นนะ แฟชั่นเป็นกาลสมัย มันหมดยุคไปครั้งหนึ่งเดี๋ยวมันก็กลับฟื้นขึ้นมาอีก มันเป็นสิ่งที่เป็นอนิจจัง นี่เรื่องของโลกเป็นภาวะแบบนั้น

แต่เราอยู่ในป่าในเขา ถ้ามันเบียดเบียนตัวเองที่ไหน มันก็เบียดเบียนตัวเองนะ อยู่ในเมืองมันก็เบียดเบียนตัวเอง แต่มันคิดว่ามันมีที่พึ่งที่อาศัย คือว่าสังคมมันช่วยเหลือกันได้ แต่ถ้าเราอยู่ในป่าคนเดียว เวลาเราตกทุกข์ได้ยาก อยู่คนเดียวมันจะว้าเหว่ มันจะเป็นไป แต่ผู้ที่ดำรงชีวิตในป่า นายพรานล่าสัตว์เขาดำรงชีวิตในป่าของเขา เขาใช้สิ่งที่ในป่านั้นนะหุงหาอาหารเขากินได้ แต่เราถ้าเป็นคนเมืองไปอยู่ในป่า เราจะดำรงชีวิตไม่ได้เลย การดำรงชีวิตในป่าผู้ที่เขามีความชำนาญอย่างชาวเขาต่างๆ เขาก็ดำรงชีวิตของเขา ดูอย่างชาวนาสิ ผู้ที่ทำนาเขามีความชำนาญของเขา เราเป็นนักวิชาการ แต่เราก็มีความชำนาญเหมือนเขา แต่เรารู้วิชาการดีกว่าเขา นี้คือปัญญาทางโลก

แต่ถ้าเป็นการประพฤติปฏิบัติ ต้องเรียนปริยัติก่อน เราเรียนปริยัติขึ้นมาเพื่อประพฤติปฏิบัติ ปฏิบัติเพื่อปฏิเวธเพื่อให้ใจมันรู้แจ้ง ถ้าใจมันรู้แจ้ง นี่สภาวะอันนั้นมันกำจัดทุกข์ไปโดยปริยาย เวลาเราออกสังคมใหม่ เราเข้าสังคมไหนมันจะมีความเป็นใหม่อยู่ พระธุดงค์กรรมฐานเพราะเหตุนั้น เราธุดงค์กรรมฐานไปเพื่อไม่ให้มันชินชากับสถานที่ ถ้ามันชินชากับสถานที่มันจะนอนใจ ถ้าการนอนใจเราเองประมาทแล้ว ถ้าเราไม่นอนใจเราจะตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา ถ้าเราตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา พระธุดงค์ถึงต้องธุดงค์ไป

สมัยพุทธกาล พระเวลาออกพรรษาแล้วถ้าไม่ธุดงค์ชาวบ้านเขาจะติเตียนเลยนะ ชาวบ้านเขาจะให้ออกพรรษาแล้วพระต้องเคลื่อนไป พระไม่ได้อยู่ประจำที่จะเวียนไป มันถึงมีวินัย เตียงตั่งตั้งไว้ ถ้าพระธุดงค์มาเอาเตียงตั่งอันนั้นมาใช้ ถ้าเวลาธุดงค์ต่อไปไม่เอาเตียงตั่งขึ้นไปเก็บไว้ในที่ เป็นอาบัติปาจิตตีย์ นี่ของของสงฆ์ เสื่อ หมอน มุ้ง เขาจะผูกไว้ในกุฏิผูกไว้ตรงกลาง แล้วพระธุดงค์มาจะเอาสิ่งนั้นมาใช้เป็นของกลาง ของที่เป็นสาธารณะ วัด เห็นไหม สงฆ์จากจตุรทิศ ทิศไหนก็ได้ขอให้มาเถิด ผู้ที่อยู่ให้มีความสุขสบาย ผู้ที่ยังไม่มาขอให้มาเถิด ผู้ที่อยู่แล้วถึงเวลามันชินสถานที่แล้วมันต้องเปลี่ยนไป

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางวินัยไว้ขนาดนี้นะ ไม่ให้เราชินชากับสถานที่ต่างๆ ไม่ให้ชินชากับสิ่งใด ให้เป็นผู้ไม่ประมาท จนปัจฉิมโอวาท “ภิกษุทั้งหลาย เธอจงพิจารณาสังขารด้วยความไม่ประมาทเถิด” ความไม่ประมาท ถ้าความประมาทชีวิตจะยาวไกลขนาดไหนมันก็สั้นมาก ถ้าชีวิตเราสั้น แม้แต่คืนหนึ่งวันหนึ่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกนึกพุทโธอยู่กับลมหายใจตลอดเวลา คนที่มีชีวิตอย่างนั้นดีกว่าคนที่อยู่โดยประมาท ๑๐๐ ปี หรือในชีวิตของเขา เขาอยู่ด้วยความประมาท

วันนี้วันพระ เราต้องตั้งสติของเราขึ้นมา เราออกประพฤติปฏิบัติเพื่ออะไร เพื่อดูใจของเรา ผู้ประเสริฐ พระคือผู้ประเสริฐ ใจของเราเป็นพระไหม นี่นางวิสาขาไม่ใช่เป็นพระ แต่ทำไมเรียกนางวิสาขาว่าเป็นพระโสดาบันล่ะ เพราะใจเป็นพระไง บวชแล้วเป็นสมมุติสงฆ์ ผู้ที่ถือศีลออกประพฤติปฏิบัติปฏิญาณตนว่าเป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ เป็นนักรบไง ถ้านักรบ รบกับใคร รบกับคนอื่นรบได้ สงครามเวลารบกับคนอื่นเห็นไหม ใช้วิชาการใช้เสนาธิการหัวคิดวางแผนเพื่อจะรบกับคนอื่น การรบกับคนอื่นเขาจะต้องว่ารู้เขารู้เราแล้วรบจะชนะ ถ้ารู้เราหรือรู้เขาอันใดอันหนึ่งการรบนั้นมันก็ยากขึ้นมา

แล้วเราล่ะ เราจะรบกับเรา เรารู้เรา แต่เรารู้เขาไหม? เรารู้เรื่องกิเลสไหม? เราจะไม่รู้เรื่องกิเลสเลย กิเลสมันขึ้นขี่หัวนะ คนจะมีการศึกษามากมายขนาดไหนก็แล้วแต่ แต่กิเลสมันอยู่หลังการศึกษานั้น อยู่หลังความคิดนั้น ถ้ามันอยู่หลังความคิดนั้น มันก็ใช้คนที่มีความคิดมีการศึกษาขนาดนั้นให้ทำตามอำนาจของกิเลส ถ้าคนมีการศึกษาแล้วเป็นคนที่มีศีลธรรมคนนั้นจะเป็นคนดีมาก การศึกษาของเขาเป็นนักปราชญ์จะช่วยประเทศชาติจะช่วยสิ่งต่างๆ ได้ ถ้าเขามีการศึกษามากแล้วกิเลสของเขาก็มาก เขาจะบิดเบือน เวลาสัตว์มันกัดกันนะ มันกัดกันด้วยเล็บของมันด้วยเขี้ยวของมันเท่านั้น เวลาคนทำลายกันนะ หลอกลวงเซ็นหนังสือตัวเดียวยกประเทศให้กันได้เลยนะ ยึดเมืองทั้งเมืองให้ด้วยการเซ็นสัญญา ด้วยการทำต่างๆ ผู้ที่มีปัญญาเวลามันคดโกงมันทำได้ขนาดนั้น แล้วเรานี่ว่ามีกิเลส แล้วกิเลสมันควบคุมใจอยู่ที่การศึกษาจากภายนอก

การศึกษาจากของครูบาอาจารย์ คือการศึกษาจากประพฤติปฏิบัติ ผู้ที่ประเสริฐ เอาตนของตนไว้ในอำนาจของตน ถ้าจะเอาตนของตนไว้ในอำนาจของตน ความคิดต่างๆ มันคิดออกไป สติควบคุมมันตลอดไป เป็นปัญญาอบรมสมาธิ ต้องตั้งฐานขึ้นมาก่อน สิ่งที่ตั้งฐานขึ้นมาต้องมีพื้นฐาน นี่นักกีฬาจะลงเล่น นี่นักกีฬาเวลาเขาตกดีวิชั่นเขาตกออกไปเลย เขาไม่มีโอกาสได้เล่น ถ้าเขาทำคะแนนของเขาขึ้นมาเขาได้โอกาสของเขา ทุกคนก็อยากเข้าไปหาโอกาสนั้น

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราไม่ทำสัมมาสมาธิ เราไม่ปรับพื้นที่ของเรา เราจะเล่นกับอะไรเราไม่มีโอกาสหรอก ถ้าจิตยังไม่สงบ จิตเราไม่มีพื้นฐาน เราจะชนะกิเลสที่ไหน เวลาธรรมมันเกิดในหัวใจนะ กับกิเลสมันเกิดในหัวใจ มันแย่งกันนั่งบนหัวใจนั้น ถ้ากิเลสมันเกิดมันนั่งในหัวใจนั้น ความคิดนี่เป็นโลกียะทั้งหมด มันจะคิดขนาดไหนออกไปปัญญาที่ว่าเขามีกันนะ ไอน์สไตน์มีความคิดมาก แล้วก็ยังบอกว่าถ้ายังมีโอกาสนับถือขอนับถือศาสนาพุทธ เพราะอะไร? เพราะศาสนาพุทธมีหลักมีเหตุมีผล ความคิดของเขาคิดได้ขนาดนั้น แต่เขาไม่สามารถชำระกิเลสได้

กาฬเทวิล ก่อนสมัยพุทธกาลเขาทำสมาบัติของเขาได้ เขาระลึกชาติของเขาได้ แต่เขาไม่มีโอกาสอันนี้ เขาทำสมาธิได้นี่เขามีพื้นฐานนะ แต่ปัญญาอันนั้นยังไม่เกิด ปัญญาคือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่ตรัสรู้ธรรมขึ้นมา ธรรมยังไม่มี มีสมาธิก็มีสมาธิกดไว้เฉยๆ เวลามันเสื่อมขึ้นมามันก็เสื่อมออกมา กาฬเทวิลถึงกับทั้งดีใจว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดแล้ว ทั้งเสียใจว่าตัวเองต้องตายก่อนไง ถ้าตัวเองไม่ตายก่อนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาตรัสรู้แล้วนึกถึงจะสอนใครก่อนนะ สอนอาฬารดาบสก่อนเพราะสิ่งนี้ว่าเป็นครูบาอาจารย์ก่อน เสียดายมากตายไปแล้วเมื่อวานนี้ อุทกดาบสก็ตายไปแล้ว

สุดท้ายแล้วปัญจวัคคีย์ สอนปัญจวัคคีย์ก่อน เพราะปัญจวัคคีย์มีพื้นฐาน เพราะอุปัฏฐากมา ๖ ปีทำสัมมาสมาธิได้โดยข้อเท็จจริงอยู่แล้ว นี่เวลาเทศน์ธรรมจักรขึ้นไปเป็นไปเลย เพราะอะไร? เพราะธรรมอันนี้เกิดขึ้น เพราะเวทีเขามีอยู่แล้ว กติกาการเล่นเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบัญญัติขึ้นมา แล้วเล่นอย่างนี้ ให้ชนะอย่างนี้ รู้เขารู้เรา รู้กิเลสในใจของเรา แล้วก็มีพื้นฐาน รู้เราก็คือมีสัมมาสมาธิ มีจิตของเรา จิตของเราเป็นผู้วิปัสสนา รู้เขารู้เราแล้วก็เอาตนของตนไว้ในอำนาจของตน นี่ถ้าวิปัสสนาไปมันจะปล่อยวางแบบนี้

นี่ผู้ประเสริฐๆ ตรงนี้ ประเสริฐในหัวใจของสัตว์โลก ประเสริฐในหัวใจที่รับรู้ธรรมอันนี้ไง ผู้ที่ประเสริฐมีอำนาจวาสนา จักรพรรดิมหาจักรพรรดิขนาดไหน ที่ในประวัติศาสตร์ก็ต้องตายต้องเกิดนะ เวียนตายเวียนเกิดในสภาวะแบบนั้น เป็นจักรพรรดิเป็นคนสร้างอำนาจไว้แล้วก็ตายไป แล้วก็เกิดมาก็ใช้สิ่งที่ว่าตัวเองสะสมไว้อันนั้น นี่เวียนตายเวียนเกิดแม้แต่วัตถุยังอยู่โลกนี้ คนเกิดคนตายกี่รอบแล้วก็มาใช้วัตถุสิ่งที่เราสร้างไว้เราสะสมไว้เราทำไว้ นี่เป็นผู้ที่มีบุญกุศลนะ แต่ถ้ามีบาปอกุศลมันไปเกิดในวัฏฏะ ไปเกิดในนรกในอบาย กว่าจะเกิดขึ้นมาโลกก็เป็นสภาวะแบบเปลี่ยนไปแล้ว

สมัยดึกดำบรรพ์โลกนี้สิ่งแวดล้อมจะดีมาก เป็นธรรมชาติทั้งหมดเลย แล้วคนเกิดขึ้นมาก็เป็นสภาวะแบบนี้ แล้วก็ทำกันไปอย่างนี้ เวลาเกิดโรคระบาด เกิดแผ่นดินไหวเกิดวาตภัยต่างๆ มันจะชำระโลกเปลี่ยนแปลงโลกสภาวะโลก มันเป็นอจินไตย ถ้าเราสร้างบุญกุศลไว้เวลาโลกมันเจริญขึ้นมา เราจะเจอสภาวะแบบนั้น แล้วเราเจอครูบาอาจารย์ที่มาเปิดโลก สว่างนอกสว่างใน สว่างนอกคือครูบาอาจารย์เปิดธรรมเอาไว้ สว่างในถ้าใจเราสว่าง ถ้ามืดทั้งนอกมืดทั้งใน เราเกิดขึ้นมาศาสนาก็ไม่มี การประพฤติปฏิบัติ กาฬเทวิลขนาดเหาะเหินเดินฟ้าได้ ขนาดที่ว่าระลึกอดีตชาติได้ ยังต้องนั่งร้องไห้นะ แล้วของเราทำได้ขนาดนั้นไหม เรามีโอกาสอย่างนั้น เพราะอะไร? เพราะมรรคายังไม่เกิด

เรายึดกันว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญา ปัญญาในการภาวนามยปัญญาเกิดขึ้นมาจากหัวใจ ปัญญาอันนี้จะเกิดขึ้นมา เราก็ว่าเราภูมิใจเราเป็นชาวพุทธ แต่เวลาเราประพฤติปฏิบัติมันเป็นโลกียปัญญา เราก็ตู่กันไง เราก็ว่าอันนี้เป็นภาวนมยปัญญา เราเป็นชาวพุทธ เราคิด เราเป็นนักปราชญ์ เราโต้เถียงจากปราชญ์จากลัทธิต่างๆ เราชนะเขาตลอด ชนะเขาเรามีเหตุผลชนะเขามันก็เป็นชนะคนอื่น มันไม่ชนะใจของเราได้เพราะมันไม่เป็นภาวนามยปัญญา มันไม่เป็นความเห็นจากภายใน มันไม่สามารถชำระกิเลสจากภายในของเราได้ มันเป็นการส่งออก เป็นการหาสิ่งที่เปรียบเทียบออกไปข้างนอก มันก็เป็นไป เราก็ยังภูมิใจนะว่าเราเป็นนักปราชญ์ เป็นนักปราชญ์ เป็นนักปราชญ์นั้นปราศจากไง ปราศไม่มีเหตุมีผลไง

แต่ถ้าเราเป็นนักปราชญ์ เราเข้าใจถึงตัวเราเอง เรามีรู้เขารู้เราแล้วชำระเข้ามาภายใน เราจะไม่ชินชากับสิ่งต่างๆ เลย สิ่งใดก็ไม่ชินชา เพราะเห็นสภาวะโลกนี้เป็นอนิจจัง โลกนี้เป็นมายา สิ่งที่เป็นมายาเรายึดเขาไม่ได้เลย อาศัยกันชั่วคราว สิ่งใดก็ชั่วคราว เราก็ชั่วคราว เขาก็ชั่วคราว ก็อาศัยกันไป มันก็แปรไปแปรปรวนไป สภาวะกรรมเป็นอย่างนี้ ถึงเกาะเกี่ยวกัน ถึงเกิดมาพบกันเกิดมาอาศัยกัน เราเกิดมาเห็นครูบาอาจารย์มันถึงว่ามีอำนาจวาสนา เพราะอำนาจวาสนา เห็นไหม ผู้ที่ชี้บอกทาง เราหลงป่านะ แล้วเราไปเจอนายพรานเขาเดินออกจากป่า เราเดินตามหลังเขาไป เขายังมีคุณกับเราเลย เพราะเราหลงป่า เราไม่รู้ทางนะ

นี่ก็เหมือนกัน ในเมื่อเราทางสภาวธรรม ธรรมที่ครูบาอาจารย์เทศน์ไว้เป็นตำรับตำรา นี่เป็นนายพรานที่พาเราออกจากป่า สิ่งนี้ก็มีอยู่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพานไปขนาดไหนก็แล้วแต่พระไตรปิฎกก็มีอยู่ แต่เราต้องเข้าใจตามพระไตรปิฎก เข้าใจตามความเป็นจริง เราจะประโยชน์กับเรา แต่เวลาเราปฏิบัตินี่เราพยายามจะน้อมมาเป็นความเห็นของเราๆ กิเลสมันดึงไปแล้ว มันดึงไปตลอด มันถึงไม่เป็นผู้ประเสริฐ มันตู่จากใจ ใจมันมืดแล้วก็ตู่จากข้างนอก แต่ถ้ามันเป็นความจริง ข้างนอกเขาก็เป็นของเขาอยู่แล้ว พระอาทิตย์ขึ้นตกขนาดไหนก็แล้วแต่ ถ้าเราใช้ประโยชน์อันนั้น

มวลดอกไม้ต้นไม้มันเจริญงอกงาม เพราะสิ่งนั้นเป็นประโยชน์ แล้วถ้าเราใช้ประโยชน์สิ่งที่มากกว่านั้นอีก เราใช้โซล่าเซลล์ขึ้นมานี่เราก็เป็นประโยชน์ นี่คนที่ตาในสว่างมันจะเป็นประโยชน์กับเราขนาดนั้น สิ่งข้างนอกเป็นประโยชน์อยู่แล้วถ้าเราใช้เป็น ถ้าเราใช้ไม่เป็นเราจะไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย การเกิดการตายก็เหมือนกัน เกิดมาเป็นมนุษย์ ๑๐๐ ปี เราต้องตายไป เราจะใช้ประโยชน์ไหม ถ้าเราใช้ประโยชน์เราย้อนกลับเข้ามาภายในแล้วจะรู้เรา รู้เขา รู้เรา แล้วเอาตัวรอด เอวัง

"